การออกแบบระบบเตรียมและจ่ายโพลิเมอร์ สำหรับการรีดน้ำตะกอน
ในการรีดน้ำตะกอน (Sludge Dewatering) โพลิเมอร์เป็นหัวใจสำคัญ เพราะเป็นสารช่วยจับตะกอน (Flocculant / Coagulant aid) ที่ทำให้อนุภาคตะกอนเล็ก ๆ รวมตัวเป็นก้อนใหญ่ (Floc) สามารถแยกน้ำออกได้ง่ายขึ้น
การเตรียมและจ่ายโพลิเมอร์ต้องออกแบบอย่างรอบคอบ เพราะการผสมที่ผิดสัดส่วนหรือเวลาพักไม่พอ จะทำให้ฟลอคไม่แข็งแรง ส่งผลให้
-
น้ำรีดขุ่น (Poor Filtrate)
-
ผ้า / สกรูอุดตันเร็ว
-
ต้องใช้ปริมาณสารมากขึ้น
💧 ประเภทของโพลิเมอร์ที่ใช้ในระบบบำบัดน้ำเสีย
| ประเภท | รูปแบบ | ลักษณะเด่น | ข้อควรระวัง |
|---|---|---|---|
| Dry Polymer (Powder form) | ผงแห้ง, ต้องละลายน้ำก่อนใช้ | ราคาถูก, เก็บได้นาน | ต้องมีระบบละลายที่ถูกต้อง (Wet-out & Aging tank) |
| Emulsion Polymer (Liquid form) | ของเหลวเข้มข้น (O/W Emulsion) | ใช้งานง่าย, ละลายเร็ว | ต้องมีระบบปั่น/เจือจางต่อเนื่อง |
| Ready-to-use Solution | สารละลายสำเร็จรูป | ใช้งานสะดวก | ราคาสูง, เก็บได้ไม่นาน |
ส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมจะใช้ Dry Polymer (Powder) เพราะคุ้มค่าที่สุดต่อหน่วยของแข็ง (Active content 90–95%)
💧 หลักการออกแบบระบบเตรียมโพลิเมอร์ (Polymer Make-up System)
ระบบทั่วไปประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก
-
Wetting / Dispersion Unit
-
ทำหน้าที่ “กระจายผงโพลิเมอร์” ลงในน้ำโดยไม่ให้จับตัวเป็นก้อน (Fish eyes)
-
ใช้ Eductor หรือ Venturi mixing nozzle ร่วมกับ Agitator ความเร็วสูงช่วงแรก
-
-
Maturation / Aging Tank
-
ถังพักสารละลายให้โพลิเมอร์ขยายตัวและละลายสมบูรณ์
-
เวลาพัก (Aging time): 30–60 นาที (Dry Polymer) หรือ 15–30 นาที (Emulsion Polymer)
-
ความเร็วรอบกวนต่ำ (15–25 rpm) เพื่อไม่ให้โมเลกุลขาด
-
-
Solution Tank / Dosing Section
-
เก็บสารละลายโพลิเมอร์เจือจาง พร้อมปั๊มจ่ายเข้าสู่จุดผสมตะกอน
-
ใช้ปั๊มชนิด Low Shear เช่น Progressive Cavity Pump (PCP) หรือ Diaphragm Pump
-
💧 การคำนวณการเตรียมสารละลายโพลิเมอร์
1. ความเข้มข้นของสารละลายโพลิเมอร์ (Solution Strength)
โดยทั่วไป:
-
Dry Polymer → 0.1–0.3% (w/w)
-
Emulsion Polymer → 0.3–0.5% (w/w)
สูตร:
ตัวอย่าง:
(จริงควรชั่งละเอียดและละลายในระบบ Wetting Unit)
2. อัตราการใช้โพลิเมอร์ (Polymer Dosage Rate)
ขึ้นอยู่กับชนิดตะกอน (Dry Solids Load)
สูตร:
ตัวอย่าง:
ค่าทั่วไปในงานรีดตะกอน:
-
Biological sludge → 3–6 kg/t DS
-
Chemical sludge → 2–4 kg/t DS
-
Mixed sludge → 4–8 kg/t DS
💧 การจ่ายสารละลายโพลิเมอร์ (Polymer Dosing)
-
จุดจ่าย (Injection Point):
-
ควรอยู่ก่อนอุปกรณ์ Dewatering 1–3 นาทีของเวลาผสม (Residence time)
-
เช่น ก่อน Screw Press หรือ Belt Press ที่ Static Mixer / Flocculator
-
-
การผสม (Mixing Energy):
-
ต้องเพียงพอให้ตะกอนกระจาย polymer ทั่วถึง แต่ไม่แรงจนฟลอคแตก
-
ค่า G (Velocity Gradient) ที่แนะนำ: 40–80 s⁻¹
-
-
การควบคุม (Control Strategy):
-
แบบ Manual (Flow Control) หรือ Auto (Flow-paced dosing)
-
สามารถใช้สัญญาณจาก Sludge Feed Pump หรือ Dry Solids Analyzer
-
💧 Initial Specification
| รายการ | ค่ามาตรฐานทั่วไป |
|---|---|
| รูปแบบโพลิเมอร์ | Dry Polymer (Anionic) |
| ความเข้มข้นสารละลาย | 0.1–0.3% w/w |
| เวลา Aging | 30–60 นาที |
| ถัง Aging | 2–3 ช่อง (Chamber Tank) |
| วัสดุถัง | HDPE / FRP / SS304 |
| ปั๊มจ่าย | Progressive Cavity Pump / Diaphragm Pump |
| อัตราการไหลสารละลาย | 5–100 L/h (ขึ้นกับขนาดระบบ) |
| ระบบควบคุม | Auto/Manual Switch, Flow Interlock, Level Sensor |
| อุปกรณ์เสริม | Hopper, Wetting Funnel, Mixer, Level Transmitter |
💧 การบำรุงรักษา
| รายการ | ความถี่ | หมายเหตุ |
|---|---|---|
| ตรวจหัวฉีด / Hopper | รายสัปดาห์ | ป้องกันการอุดตัน |
| ล้างถัง Aging | รายเดือน | ป้องกันการสะสมของ polymer gel |
| ตรวจปั๊มจ่าย | รายเดือน | ตรวจ seal / stator |
| ตรวจแรงดันระบบน้ำเตรียม | รายวัน | ให้เพียงพอที่ Venturi หรือ Wetting Nozzle |
💧 เคล็ดลับการใช้งาน (Practical Tips)
-
ห้ามละลายโพลิเมอร์ในน้ำที่มีอุณหภูมิสูง (>40°C) → โมเลกุลจะเสียโครงสร้าง
-
ใช้น้ำสะอาด (เช่น RO หรือ Softened water) เพื่อหลีกเลี่ยงการรวมตัวเร็วเกินไป
-
เติม polymer ลงในน้ำ (ไม่ใช่น้ำลง polymer) เพื่อป้องกันการจับตัวเป็นก้อน
-
ทดสอบการละลายด้วย jar test ทุกครั้งเมื่อเปลี่ยน batch
-
เก็บผง polymer ในที่แห้ง อุณหภูมิปกติ อายุเก็บ (shelf life) ~2 ปี
💧 สรุป
ระบบ Polymer Preparation & Dosing ที่ออกแบบถูกต้องจะช่วยลดปริมาณโพลิเมอร์ได้ 20–30%, เพิ่มความแข็งแรง คงรูป ไม่เละให้ฟลอค และทำให้ระบบรีดน้ำตะกอนทำงานนิ่งขึ้น
หัวใจสำคัญคือ “การละลายสมบูรณ์ + การจ่ายที่สม่ำเสมอ” — หากทำได้ ระบบ dewatering จะได้ cake แห้ง น้ำใส และใช้สารเคมีน้อยที่สุด