🔹 สถานะปัจจุบันของ UV-C LED vs Mercury Lamp
| ประเด็น | UV-C LED | Low-Pressure Mercury Lamp (แบบดั้งเดิม) |
|---|---|---|
| ช่วงคลื่นหลัก | 260 ± 10 nm (ปรับได้เฉพาะรุ่น) | 253.7 nm คงที่ |
| กำลังรังสี (Radiant Flux) | ~2–10 mW ต่อ chip | 10–30 W ต่อหลอด (สูงกว่าหลายพันเท่า) |
| UV Dose ต่อ ต้นทุน | สูงมาก (ยังไม่คุ้ม)😢 | ต่ำ / คุ้มค่ากว่า🤩 |
| อายุการใช้งาน | ~10,000 h (แต่ flux ลดเร็วหลัง 5,000 h) | 9,000–12,000 h flux คงที่ |
| Cooling / Heat Management | ต้องใช้ heat sink ดีมาก | ไม่ต้อง (ปล่อยความร้อนผ่านน้ำได้) |
| ต้นทุนต่อหน่วยพลังงาน | 10–20 เท่าของ Mercury Lamp | ถูกกว่ามาก |
| สารปรอท | ❌ ไม่มี | มี Hg (ต้องควบคุมของเสีย) |
| การเปิด-ปิด ทันที | ✅ เปิดติดทันที | ต้อง pre-heat ~10 วินาที |
| ขนาดอุปกรณ์ | เล็ก / โมดูลาร์ / ยืดหยุ่น | ใหญ่ / ทรงกระบอก |
🔸 เหตุผลที่ UV-C LED ยัง “จับต้องไม่ได้” สำหรับภาคอุตสาหกรรมตอนนี้
-
ต้นทุนต่อ mJ/cm² สูงเกินไป – ต้นทุน ต่อ Dose สูงกว่า Mercury lamp ประมาณ 10–15 เท่า
-
ความเข้มรวมของระบบ (UV Intensity) ยังไม่พอสำหรับ flow > 1 m³/h แบบ continuous flow
-
การจัดการความร้อน (Thermal management) เป็นข้อจำกัดใหญ่ – ถ้าระบายความร้อนไม่ดี flux ลดลงเร็ว
-
การรวมหลาย chip เพื่อเพิ่มกำลัง = ต้นทุน + complexity สูงมาก
-
เทคโนโลยียังเหมาะกับ POU / POE ขนาดเล็ก (เช่น ตู้กดน้ำ, เครื่องกรองในบ้าน, ห้องแล็บ, แท่น CIP เฉพาะจุด)
🔹 แนวโน้มในอนาคต
-
ราคาชิป UV-C LED ลดลงเฉลี่ย ~15–20 % ต่อปี
-
เมื่อ “Wall-plug efficiency” เพิ่มจาก ~3–4 % ในปัจจุบัน → 10 % (คาด ภายใน 2027–2028) จะเริ่มคุ้มใน flow ขนาดกลาง (≤ 5 m³/h)
-
ตอนนั้นระบบ LED จะเริ่มแซง Mercury lamp เพราะ ไม่มีสารปรอท + เปิด-ปิดได้ทันที + Maintenance ต่ำ
👇
หมายเหตุ:
แม้ UV-C LED จะเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ปลอดสารปรอทและมีอายุใช้งานยาวกว่า แต่ในภาคอุตสาหกรรมปัจจุบันยังมีต้นทุนสูง และให้รังสี UV ไม่เข้มพอสำหรับระบบ flow rate ขนาดใหญ่ จึงนิยมใช้ Low-Pressure Mercury Lamp เป็นหลัก